Header Ads

น้องหมาน่ารัก

สุนัข หรือ หมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดหลายสกุลในวงศ์ Canidae ออกลูกเป็นตัว ลำตัวมีขนปกคลุม มีเขี้ยว 2 คู่ ตีนหน้า มี 5 นิ้ว ตีนหลังมี 4 นิ้ว ซ่อนเล็บไม่ได้ อวัยวะเพศของตัวผู้มีกระดูกอยู่ภายใน 1 ชิ้น ที่ยังคงเป็นสัตว์ป่า เช่น หมาใน (Cuon alpinus) ที่เลี้ยงเป็นสัตว์บ้าน คือ ชนิด Canis familiaris สุนัขเป็นสัตว์ที่มีหลายพันธุ์ เช่น ลาบราดอร์, โกลเด้น, ชิวาวา และอีกมากมาย มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ดุและไม่ดุ พันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น โกลเด้น ลาบราดอร์ ที่มีขนาดเล็ก เช่น ชิวาวา ชิสุ ส่วนที่ดุ ได้แก่ ร็อดไวเลอร์ อัลเซเชียน สุนัขแต่ละพันธุ์จะมีนิสัยแตกต่างกัน


 
โฮ่งๆ หมาก็มีหัวใจ"




อาหารสมอง วีรกร ตรีเศศ varakorn@dpu.ac.th มติชนรายสัปดาห์ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1297


ถ้าท่านผู้อ่านอยากรู้ว่าทำไมหมาจึงซื่อสัตย์ หมาดูโทรทัศน์รู้เรื่องจริงหรือไม่ ทำไมหมาเห่าและกัด ตารางเทียบอายุคนกับหมาเป็นอย่างไร ทำไมหมาจึงชอบการดมบั้นท้ายกัน ทำไมหมาจึงชอบให้คนลูบหัวลูบตัว ฯลฯ ผมขอแนะนำหนังสือเกี่ยวกับหมาเล่มหนึ่งที่เพิ่งวางตลาดสดๆ ร้อนๆ ที่มีจุดขายต่างจากหนังสือหมาเล่มอื่นๆ อย่างน่าสนใจ


บนปกมีชื่อว่า "โฮ่งๆ หมาก็มีหัวใจ" และมีคำบรรยายว่า "รู้จักหมา รู้ใจหมา เพื่อสมานฉันท์ในสังคม" ในคำนำผู้เขียนบอกว่า "หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นเพราะความรักหมา ปรารถนาที่จะให้ข้อมูลเชิงวิชาการเกี่ยวกับหมา เพื่อให้เข้าใจ "ความเป็นหมา" ของมันมากขึ้น อันจะมีผลให้มันพอมีความสุขเพิ่มขึ้นบ้างจากการที่มีคนเข้าใจธรรมชาติของมัน"


หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่สไตล์คิกขุกเกี่ยวกับความรักหมา หากบรรยายแนวเบาๆ ให้เข้าใจว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อน "ความเป็นหมา" ของมัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อความเข้าใจพฤติกรรมของหมา ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจอันดี ในการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขระหว่างคนกับหมา ผู้เขียนอาศัยตำราเกี่ยวกับจิตวิทยาของหมาหลายเล่ม เพื่อนำมาสรุปเล่าสู่กันฟัง


ในเรื่องพื้นฐานของการกระทำของหมา ผู้เขียนเล่าว่าอย่างนี้ครับ "ความสามารถในการดมกลิ่นของหมา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจยิ่ง เวลาที่มันออกไปนอกบ้าน โดยเฉพาะเมื่อเข้าไปในสวนหรือตามที่ต่างๆ ภายในป่าที่ไม่เคยไปมาก่อนมันจะเริงร่ามาก และดมอะไรๆ ไปทั่ว ไม่ว่าก้อนหิน ต้นไม้ หรือแม้กระทั่งเพื่อนหมาด้วยกัน เรียกว่าดมทุกอย่างที่ขวางหน้า การที่มันดมสิ่งต่างๆ นั้นก็เหมือนกับที่มนุษย์สัมผัสโลกกว้างด้วยการใช้สายตามองเห็นสิ่งต่างๆ นั่นเอง ซึ่งหมาจะรับเอาความสุขที่ได้จากการสัมผัสสิ่งแปลกใหม่เข้ามา


นอกจากนี้ เวลาที่หมาพบกันก็จะดมบั้นท้ายซึ่งกันและกัน ไม่ได้ดมด้วยความพิศวาสทางเพศ แต่ดมเพื่อทำความรู้จักกัน เพราะหมาแต่ละตัวจะมีต่อมน้ำมันที่ปล่อยกลิ่นเฉพาะตัวอยู่รอบทวารหนัก และมันยังมีความจำเป็นเลิศ ในสมองของมันสามารถบันทึกกลิ่นที่ดมไว้ได้ทันที และจดจำกลิ่นทั้งหมดที่เคยดมมาได้


ฉะนั้น การที่หมาดมกันก็เหมือนมันดูเลขทะเบียนหรือ ID number รหัสประจำตัวว่าเป็นหมายเลขอะไร เหมือนเลขบัตรประชาชนของคนเรา มันจะสามารถจำได้ว่าหมาตัวที่มันดมนั้นเป็นตัวที่มันเคยรู้จักแต่ครั้งไหนหรือไม่ เป็นศัตรูหรือเป็นมิตร


ทำไมหมาถึงมีความสามารถพิเศษในการดมเหนือกว่ามนุษย์ เพราะว่าภายในจมูกหมาบรรจุเซลล์ที่ไวต่อการดมกลิ่นประมาณ 220 ล้านเซลล์ เราก็ไม่รู้ว่ามากน้อยแค่ไหน แต่หากเทียบกับมนุษย์แล้ว มนุษย์มีอยู่ 5 ล้านเซลล์เท่านั้น นั่นหมายความว่าหมามีมากกว่ามนุษย์ถึง 44 เท่า จำนวนเซลล์ในจมูกที่มีมากกว่าทำให้มีความไวต่อกลิ่นได้ดีกว่าและไม่เพียงแต่มีเซลล์ในจมูกมากกว่าคนเท่านั้น หมายังมีความสามารถพิเศษประจำพันธุ์ รวมทั้งความสามารถด้านเคมีและชีววิทยาประจำพันธุ์ด้วย


ทำให้หมามีความสามารถดีกว่ามนุษย์ถึงหนึ่งล้านเท่าในการพิสูจน์กลิ่น โดยเฉพาะกลิ่นเหม็น"


ผู้เขียนได้ไขเรื่องสำคัญที่ขับเคลื่อน "ความเป็นหมา" โดยอธิบายว่าหมาเป็นสัตว์ประเภทอยู่กันเป็นกลุ่ม (pack animals) ฐานะตนเองในกลุ่มเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะ "มันแสดงออกถึงความสามารถในการอยู่รอด ซึ่งเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมนั่นเอง แต่เดิมนั้นหมาเป็นสัตว์ที่อยู่กันเป็นฝูง การที่ตัวเองมีฐานะอยู่ในฝูงและอยู่ในลำดับตรงไหนนี้เองที่ทำให้เกิดการอยู่ร่วมกันได้ หมาที่เป็นหัวหน้าจะเข้มแข็งที่สุด หมาทั้งหลายจะต้องซูฮก ประจบประแจง ยอมทุกอย่าง เพราะฐานะของตนเองจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับหัวหน้าฝูงเป็นสำคัญ ถ้าหากเป็นหมาหนุ่มที่ต้องการตำแหน่งจ่าฝูง ก็จะท้าทายอำนาจ ด้วยการโดดเข้าขย้ำจ่าฝูงและแสดงอาการข่ม และเมื่อจ่าฝูงซึ่งแก่ตัวแล้วยอมแพ้ยอมเปิดท้องนอนหงาย นั่นก็แสดงว่าหมดแล้วซึ่งฐานะของตน


หมาทั้งหลายเพียงแต่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าใครใหญ่ที่สุดในฝูง และต้องซูฮกกับหัวหน้าใหม่นั้นต่อไป การแสดงออกซึ่งลักษณะว่าตัวเองยอมพ่ายแพ้ก็คือการที่หางตกแนบก้น เป็นการแสดงออกถึงการยอมรับการถูกข่ม


ความพ่ายแพ้หรือความกลัวของหมาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าหากมันไม่มีกลุ่มอยู่หรือไม่มีฐานะเป็นที่ยอมรับในกลุ่ม เช่น หมาไร้เจ้าของหรือหมาจรจัดนั้นจะเห็นได้ชัดเจนว่าจะมีอายุไม่ยืน นอกเหนือจากเรื่องการขาดแคลนอาหารแล้ว มันจะดูขาดความสุขและมีจิตใจหดหู่กว่าหมาที่มีเจ้าของชัดเจน เนื่องจากไม่มีความมั่นคงในชีวิต ไม่มีฝูงและจ่าฝูงที่ดูแลคุ้มครองมัน บางคราวต้องเผชิญกับศัตรูหลายรูปแบบ และโดยสัญชาตญาณ มันก็พร้อมที่จะซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อจ่าฝูงเสมออยู่แล้ว เมื่อไม่มีจ่าฝูง มันจะรู้สึกผิดไปจากสัญชาตญาณของการเป็นหมาไปมาก ซึ่งเป็นที่สังเกตของนักสัตววิทยามานานแล้ว


หมาไม่มีเจ้าของก็คือหมาที่ไม่มีกลุ่ม อาจจะอยู่นอกบ้าน รู้จักกลุ่มอื่นๆ แต่ความรู้สึก ลึกๆ นั้นตัวเองก็รู้สึกว่ายังขาดอยู่ หมาที่เข้าไปอยู่ในบ้านก็มองคนในบ้านนั้นเป็นหมาเหมือนกัน ไม่ได้มองว่าเป็นคน แต่มองว่าเป็นสัตว์ที่ตัวใหญ่กว่า เพราะฉะนั้น อันดับของคนในบ้านจึงสูงกว่าและถึงแม้ว่าเจ้าของบ้านไม่ได้เป็นคนให้อาหาร แต่หมาจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของบ้านที่แท้จริง และคนนั้นก็คือหมายเลขหนึ่งของมัน หรือหัวหน้าของมันนั่นเอง


หมาซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อหัวหน้าไม่ใช่เพราะว่ารักอย่างในลักษณะเดียวกับความรักของคน หมาไม่เข้าใจเรื่องคุณธรรม แต่การจงรักภักดีซื่อสัตย์ต่อหัวหน้าก็เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง การกล่าวเช่นนี้เป็นการกล่าวตามหลักทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของหมาไม่ได้ต้องการที่จะลดอันดับความสำคัญของหมาในใจลงไป ถึงแม้หมาจะซื่อสัตย์ต่อเจ้าของด้วยเหตุผลของมันเอง มิใช่ด้วยเหตุผลด้านคุณธรรมของมนุษย์ แต่มันก็ยังคงซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเราเหมือนเดิมในขั้นสุดท้ายไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นเรื่องน่าชื่นชมและรักใคร่มัน ดังนั้น รักหมาอย่างไรก็จงรักอย่างนั้นต่อไป แต่ความเป็นจริงก็คือความเป็นจริง


หมาซื่อสัตย์ต่อเราก็เพื่อความอยู่รอดของตัวมันเอง อย่าไปโกธรเกลียดหมา เพราะหมานั้นเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นสัตว์ที่ถูกผลักดันโดยสัญชาตญาณดั้งเดิมในการดำรงชีวิต แต่มนุษย์ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน จึงควรจะเข้าใจสัตว์เดรัจฉานให้มากๆ และพยายามให้สัตว์ทั้งที่ไม่ใช่เดรัจฉานและเดรัจฉานอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข


หากใครเลี้ยงหมาแล้วไม่มีความสุขทั้งคู่ กรุณาอย่าโทษหมา แปดในสิบครั้งน่าจะเป็นความผิดของเจ้าของหมาที่ไม่ดูแลให้ดี ไม่ได้ให้ความรักความอบอุ่นแก่มัน ถึงอย่างไรหมาก็ยังมีพฤติกรรมเป็นสัตว์อยู่วันยังค่ำ มนุษย์ต่างหากเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ จำเป็นต้องปรับตัวเองให้เข้ากับหมา อย่าหวังว่าหมาที่นำมาเลี้ยงจะปรับนิสัยใจคอตามสิ่งแวดล้อมของเราได้หมดทุกอย่าง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้"


เนื้อหาในหนังสือตอนหนึ่งทำให้เราเข้าใจเรื่องที่แสนจะธรรมดาคือลูบหัวหมาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น "เมื่อเราเอามือตบหัวมันแล้วเราเองจะรู้สึกพอใจและรู้สึกว่ามันเหมือนเพื่อนของเรา หรือแม้แต่มนุษย์ในเผ่าพันธุ์เดียวกัน เวลาที่รู้จักกันก็ต้องมีการทักทายกันเป็นธรรมดา อาจจะโดยการสัมผัสตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสแขน ใช้มือโอบบ่ากัน นี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งแสดงออกว่าเราเป็นพวกเดียวกัน เป็นมิตรกัน หากคนไม่เป็นมิตรกันจะไม่สัมผัสกัน ตัวไม่ให้โดนกัน แต่ถ้าเป็นเพื่อนกันเป็นมิตรกันก็จะสัมผัสกัน


คนจะรู้สึกสบายใจที่ได้แตะ ตบหัว ลูบหัวหมา เพราะรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อน นั่นคือมนุษย์ นำความรู้สึกของการเป็นมนุษย์ไปใส่ในสัตว์ เมื่อตัวเราเองรู้สึกพอใจกับการสัมผัสเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราก็คิดว่าสัตว์ก็ต้องรู้สึกพอใจด้วย สำหรับหมาแล้วมันไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพื่อนเหมือนเช่นที่คนรู้สึก เพราะในสังคมหมานั้นไม่เคยมีการยื่นเท้าไปแตะกันเพื่อแสดงถึงความสนิทชิดเชื้อ แต่จะใช้จมูกไปชนหรือดันข้างลำตัวและเอาตัวไปสีหรือไปถู อันนี้เป็นการสัมผัสของสัตว์ด้วยกันเพื่อแสดงถึงความสนิทสนม


การที่หมาได้รับสัมผัสจากคน ไม่ว่าจะเป็นการตบหัว ลูบหัว หรือลูบหลัง โดยเฉพาะลูบตรงใต้คอ หรือตรงระหว่างขาหน้าบริเวณอกแล้วรู้สึกพอใจ คนเราตีความว่าการมีคนมาแตะมาลูบนั้นให้ความรู้สึกอย่างเดียวกัน หรือคล้ายกันกับสมัยที่ตัวเองเป็นเด็กสนุกสนานอยู่กับพี่น้องแล้วมีแม่เป็นคน ดูแลให้ความอบอุ่น การที่มีคนมาลูบมาเกาหลัง อุปมาเหมือนกับความรู้สึกของตัวเองที่ได้รับจากพี่น้อง ได้รับจากแม่ หรือไม่ก็เหมือนกับความรู้สึกที่เด็กได้รับตอนที่ผู้ใหญ่เอามือลูบบ่า ลูบไหล่ โดยเฉพาะคนที่ทำงานแล้วมีผู้ใหญ่ตบหลัง ลูบไหล่ ก็เหมือนกับได้รับการยอมรับ


นักสัตววิทยาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่คนลูบหัวหมาแล้วคิดว่ามันรู้สึกสบายใจ เป็นมิตร และมีความมั่นใจมากขึ้นนั้น จริงๆ แล้วมันไม่ได้รู้สึกพอใจแบบเดียวกับที่มนุษย์เป็นเมื่อถูกลูบหลังลูบไหล่ แต่มันจะนึกถึงสมัยตอนที่ตัวเองยังตัวเล็กๆ แล้วได้รับการสัมผัสจากเพื่อนหมาด้วยกัน หรือจากแม่หมา เพราะฉะนั้น สิ่งที่หมาได้รับจากการสัมผัสของคนโดยการตบหัว ลูบหลัง จึงเป็นความรู้สึกที่หมาพอใจยิ่ง เหตุที่พอใจเพราะหมารู้ดีว่าคนเป็นสัตว์ที่เหนือกว่า ไม่ได้หมายความว่าคนเป็นสัตว์ประเสริฐ เพียงแต่อยู่ในฐานะที่สูงกว่า การที่เจ้าของตบหัว ลูบหลัง ลูบไหล่ ถือเป็นความพอใจและเป็นการยืนยันฐานะว่ามันได้รับความกรุณาจากหัวหน้า


ความรู้สึกตรงนี้จึงเป็นความรู้สึกที่ทำให้หมาสบายใจ มั่นใจในฐานะของตนเอง"


อ่านมาถึงตรงนี้หลายท่านคงเดาได้ว่าใครเป็นผู้เขียนจึงชมกันอย่างไม่ค่อยเขินในวันนี้ และหลายท่านอาจงงๆ ว่าเหตุไฉนบอกแต่ชื่อหนังสือแต่ไม่บอกชื่อคนเขียน ผมก็ขอเฉลยตรงนี้เลยครับว่า "โฮ่งๆ หมาก็มีหัวใจ" นั้นผู้เขียนก็คือ อาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ เพื่อนซี้ทางวิญญาณของผม ผู้เคยบอกว่าขอสถาปนาตนเองเป็นนักวิชาการหมา (กรุณาออกเสียง "หมา" ครั้งเดียว) นั่นเอง


แกฝากบอกว่าถึงแม้จะเป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องที่เคยเขียนเกี่ยวกับหมาไว้ แต่ก็มีบางเรื่องที่ยังไม่เคยตีพิมพ์มาก่อน แกบอกว่าไม่ได้จงใจ "โหน" หมาเพราะเห็นว่ากระแสหนังสือหมากำลังมาแรง แต่เขียนและรวบรวมขึ้นด้วยความปรารถนาที่จะเห็นคนเข้าใจหมามากขึ้น


ในคำนำไม่รู้ว่าแกเก็บกดหรืออย่างไร ไปเอาอมตะวาจาของ Frederick The Great มาโชว์ไว้หรา ข้อความก็คือ "The more I see of men, the better I like my dog." (ยิ่งรู้จักมนุษย์มากยิ่งขึ้นเพียงใด ฉันก็ยิ่งชอบหมาของฉันมากขึ้นเพียงนั้น)


ในราคาแค่ 110 บาท ค่าเสียโอกาสจากการซื้อหนังสือเล่มนี้ถือว่าน้อยมากนะครับ
เครื่องเคียงอาหารสมอง


หลายเรื่องที่อาจเอาไว้บลัฟเพื่อนเล่น มีดังต่อไปนี้
ภาษาใบ้ที่เราเห็นในโทรทัศน์บ่อยๆ นั้น ไม่ใช่ภาษาใบ้สากล หากแต่เป็นเวอร์ชั่น ของภาษาใบ้ไทยที่ดัดแปลงขึ้น เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องปวดหัวเพราะสัญญาณมือเดียวกัน หากต่างภาษากันก็มีความหมายต่างกัน บางสัญญาณเท่านั้นที่ยอมรับกันเป็นสากล เช่น I love you คือ หุบ 2 นิ้ว คือ นิ้วกลางและนิ้วนาง และยื่น 3 นิ้วที่เหลือขึ้น
ถ้าใครจะ hitchhike หรือขออาศัยติดรถไปด้วยในสหรัฐอเมริกาก็จำให้แม่นๆ ว่าใช้นิ้วโป้งชูขึ้นเหมือนเคยโป้งเพื่อนตอนเด็กๆ ถ้าให้สัญญาณนิ้วผิด เช่น ชูนิ้วกลางขึ้นก็อาจถูกเหยียบอยู่ตรงนั้นแทนที่จะได้ขึ้นรถ


ถ้าจะตั้งชื่อหมา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อการจำได้ง่ายของหมา (และของเจ้าของด้วย) ควรมีแค่สองพยางค์ และหากเป็นภาษาต่างประเทศก็ควรลงท้ายด้วยเสียงโอ หรือไอ หรืออี เช่น Fido Lassie Rambo หรือ Buddy


ยอดเขา Everest ที่อยู่ระหว่างเนปาลและทิเบต ดูสูงและยิ่งใหญ่ในใจคนเป็นอันมาก เพราะสูงสุดในโลก (29,035 ฟุต) แต่โดยแท้จริงแล้วหมายเลข 2 ในโลกคือ K2 (Godwin Austen) ก็เตี้ยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง คือ 28,250 ฟุต หมายเลข 3 ในโลก คือ Kanchenjunga ที่อยู่ระหว่างเนปาลและอินเดียสูง 28,208 ฟุต


Noble Prizes เริ่มมีการให้กันเป็นครั้งแรกใน ค.ศ.1901 ในสาขาสันติภาพ การแพทย์ เคมี ฟิสิกส์ และวรรณกรรม รางวัลเกิดจาก Alfred Bernhard Nobel (1833-1896) วิศวกรเคมีชาวสวีเดนผู้คิดค้นดินระเบิดไดนาไมต์และดินระเบิดอื่นๆ บริจาคเงินก้อนใหญ่มูลค่า 9.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ร่วมกับ Bank of Sweden โดยให้ใช้เฉพาะดอกเบี้ยเป็นเงินรางวัล ปัจจุบันผู้ได้รับรางวัลในแต่ละสาขาในแต่ละปีจะได้รับเงินประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ


น้ำจิ้มอาหารสมอง
We are rich only through what we give : and poor only through what we refuse and keep.


(Anne Swetchine)


เราร่ำรวยได้จากสิ่งที่เราให้เท่านั้น และยากจนได้ก็จากสิ่งที่เราปฏิเสธที่จะให้เท่านั้น


 ที่มา มติชนรายสัปดาห์ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ปีที่ 25 ฉบับที่1297

ไม่มีความคิดเห็น